วิจัย “ก้อนเกลือโบราณ” จนพบสิ่งมีชีวิตอายุ 830 ล้านปี (อาศัยอยู่ภายใน-คืนชีพได้ในอนาคต)

นักวิจัยพบสิ่งมีชีวิต “จุลินทรีย์” อายุ 830 ล้านปี ในผลึกเกลือโบราณที่เก็บได้จากประเทศออสเตรเลีย โดยมันหลับนิ่งอยู่ในถุงของเหลวในผลึกเกลือดังกล่าว ซึ่งมีโอกาสสูงที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่และสามารถฟื้นคืนชีพหรือตื่นขึ้นได้ในอนาคต “ซารา ชเรดเดอร์ โกเมส” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ที่มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้กล่าวว่า “เรายังไม่สามารถระบุชนิดของจุลินทรีย์ชนิดนี้ได้ แต่เบื้องต้นทราบว่ามันมีลักษณะคล้ายกับ Dunaliella เป็นจุลินทรีย์สาหร่ายที่ชอบกินเกลือ มีขนาดเล็กเพียง 0.5-5 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าขนาดเส้นผมที่มีขนาด 70 ไมครอนเสียอีก นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่ามันเคยมีชีวิตอยู่เมื่อเกือบ 1,000 ล้านปีก่อน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมทางทะเลตื้นหรือในทะเลสาบน้ำเค็มตื้น” ซารา กล่าวเสริมว่า “การปลุกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่ยาก สามารถทำได้ง่ายแค่เพียง เจาะ บด หรือละลายผลึกเกลือ จากนั้นก็เติมอาหารให้มัน เท่านี้ก็สามารถทำให้พวกมันฟื้นคืนชีพได้แล้ว (ในกรณีที่ยังมีชีวิตอยู่นะ)” เสมือนการปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตโบราณที่ถูกกังขังไว้ยังไงยังงั้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นคืนชีพของสิ่งมีชีวิตโบราณที่เราไม่รู้จักแบบนี้ค่อนข้างอันตราย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าพวกมันซ่อนความลับหรืออาจมีเชื้อโรคอะไรซ่อนอยู่บ้าง ว่าแต่ จุลินทรีย์มันมีอายุยืนยาวขนาดนั้นได้ยังไง ? ตอบ : จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อึดและปรับตัวได้เก่งมาก มันสามารถหยุดนิ่งหรือเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญของร่างกาย-ให้ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร เพื่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมแห้งเหือดได้ และอยู่อย่างนั้นจนกว่าสภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวยให้มีชีวิตอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทราบว่ามันสามารถอยู่โดยไม่กินอะไรเลยได้ยาวนานแค่ไหน ทั้งนี้ นักวิจัยยังไม่ได้ทดลองปลุกจุลินทรีย์ตัวดังกล่าว จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ […]

วิจัย “ก้อนเกลือโบราณ” จนพบสิ่งมีชีวิตอายุ 830 ล้านปี (อาศัยอยู่ภายใน-คืนชีพได้ในอนาคต) Read More »

นี่ไม่ใช่ปลาจาก Stranger Things แต่มันคือ “ปลาที่เกิดมา-เพื่อต้องว่ายกลับหัวไปตลอดชีวิต”

นี่ไม่ใช่โลก upside down ใน Stranger Things แต่มันคือ “ปลาดุกกลับหัว” (Upside-down Catfish) ที่จะว่ายน้ำแบบนี้ไปตลอดชีวิต มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำคองโก แถมเป็นที่รู้จักของชาวอียิปต์มานานกว่า 4,000 ปีแล้ว ทว่ามันว่ายกลับหัวแบบนี้ได้ยังไง และทำไปเพื่ออะไร เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังครับ ก่อนอื่นต้องรู้จักกับอวัยวะปลาที่เรียกว่า “Swim Bladder” เป็นถุงลมเก็บอากาศสำหรับช่วยให้ปลาลอยตัวขึ้นหรือจมลง หากต้องการลอยตัวขึ้นปลาก็กลืนอากาศเข้าไปหรือต้องการจมลงปลาจะปล่อยอากาศในถุงลมนี้ออกมา (คล้ายกับเครื่อง BCD ที่นักดำน้ำใช้) ซึ่งอวัยวะนี้จะช่วยประหยัดพลังงานในการว่ายน้ำ อยู่บริเวณพุงใต้จุดศูนย์กลางมวล (Centre of mass) โดยปกติแล้วปลาส่วนใหญ่จะใช้ครีบข้างในการพยุงตัวให้ไม่กลับหัว ซึ่งจะสังเกตได้ว่าปลาส่วนใหญ่ที่ป่วยหรือตายจะว่ายตะแคงข้างไม่ก็กลับหัว เพราะมันไม่สามารถพยุงร่างกายได้นั่นเอง แต่สำหรับปลาดุกกลับหัวการว่ายกลับหัวแบบนี้เป็นเรื่องปกติและสบายดี แล้วมันจะว่ายกลับหัวแบบนี้ทำไมล่ะ ? ต้องยอมรับว่าไม่สามารถให้คำตอบได้ชัดเจน แต่มีทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้คือ “เพื่อให้หาอาหารง่ายขึ้น” เพราะพวกมันจะกินหญ้า-ตะไคร่น้ำที่อยู่ใต้กิ่งไม้หรือท่อนซุง อีกทั้งยังหายใจเอาออกซิเจนบริเวณผิวน้ำง่ายขึ้นด้วย ความสามารถดังกล่าว เชื่อมโยงกับภาวะขาดออกซิเจนที่เกิดขึ้นได้บ่อยในแม่น้ำแอฟริกา โดย “ลอเรน แชปแมน” ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ที่ศึกษาปลาดุกกลับหัวมานานกว่า 20 ปี ทำการทดลองในภาวะออกซิเจนต่ำ พบว่าปลาดุกทั่วไปว่ายน้ำลำบากขึ้น ขนาดเหงือกใหญ่ขึ้น วางไข่น้อยลง ในขณะที่ปลาดุกกลับหัวใช้ชีวิตอย่างปกติและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด

นี่ไม่ใช่ปลาจาก Stranger Things แต่มันคือ “ปลาที่เกิดมา-เพื่อต้องว่ายกลับหัวไปตลอดชีวิต” Read More »

รู้จัก “แอรี-ซีโร” (Airy-0) หลุมยักษ์ลวดลายแปลกตาบนดาวอังคาร (ภาพพึ่งปล่อยมาเมื่อ 1 เดือนก่อน)

เมื่อเดือนเมษายน 2022 นาซาเผยแพร่ภาพถ่ายดาวอังคารที่ถ่ายได้จากบนยานอวกาศ Mars Reconnaissance Orbiter เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2021 เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในหลุมอุกกาบาตยักษ์อีกที ถูกเรียกว่า “Airy-0” หลุม Airy-0 มีความกว้าง 500 เมตร เกิดขึ้นภายในหลุมอุกกาบาต Airy ที่กว้างถึง 43.5 กิโลเมตร ตั้งอยู่บน Sinus Meridiani หรือที่แปลว่า Middle Bay จุดที่อยู่กลางดาวอังคาร ได้รับการตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ Sir George Biddell Airy ผู้สร้างกล้องโทรทรรศน์ที่ Greenwich Royal Observatory (หอดูดาวแห่งกรีนิช) ซึ่งพบหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่นี้เป็นครั้งแรก เดิมทีนักวิทยาศาสตร์พบหลุมยักษ์นี้ตั้งแต่เมื่อ 200 ปีก่อนแล้ว แต่ว่าเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่สามารถถ่ายภาพออกมาได้ จนกระทั่งเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้ามากพอและสามารถถ่ายภาพนี้ออกมาเผยให้เห็นหลุม Airy-0 นั่นเอง โดยนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1884 พวกเขาได้กำหนดให้หลุมอุกกาบาต Airy เป็นจุดกำหนดเส้นเมริเดียนของดาวอังคาร เป็นเส้นลองจิจูดศูนย์องศาที่ตะวันออกและตะวันตกมาบรรจบกัน แต่ทว่า เมื่อกล้องโทรทรรศน์สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงจนเห็น

รู้จัก “แอรี-ซีโร” (Airy-0) หลุมยักษ์ลวดลายแปลกตาบนดาวอังคาร (ภาพพึ่งปล่อยมาเมื่อ 1 เดือนก่อน) Read More »

คู่รักนักธุรกิจเอาจริง “ทุ่ม 15 ล้าน” ซื้อบ้านต้นตอ The Conjuring หวังเผชิญประสบการณ์ต่าง ๆ

เมื่อปี 2019 คู่สามีภรรยา “เจนน์และคอรี ไฮน์เซน” ตัดสินใจซื้อบ้านที่เป็นต้นแบบจากภาพยนตร์และนวนิยายสยองขวัญเรื่อง “The Conjuring” ในราคาเกือบ 15 ล้านบาท ซึ่งอะไรดลใจให้ทั้งคู่ซื้อบ้านไม้เก่าผุพังในราคาสูงขนาดนี้ ? บ้านหลังนี้มีอาถรรพณ์และวิญญาณร้ายอยู่จริงเหรอ ? ประวัติศาสตร์ความจริงต่างจากในนิยายขนาดไหน ? มาหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลยครับ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 8.5 เอเคอร์ (21 ไร่) ในรัฐโลดไอแลนด์ ประเทศอเมริกา ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ.1736 กลายเป็นที่รู้จักจากภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี ค.ศ.1836 เนื่องจากเป็นบ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางป่ารายล้อมด้วยต้นไม้สูงอย่างน่าประหลาดใจและชวนขนลุกไปในเวลาเดียวกัน ต่อมาบ้านหลังนี้เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังหลังจากที่ครอบครัวเพอร์รอน (Perron) ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยแอนเดรีย ลูกสาวคนโตของบ้านเขียนบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ครอบครัวเจอกับบ้านหลังนี้ ในบันทึกมีท่อนที่เล่าว่า “น้องสาวเธอถูกตบจากสิ่งที่มองไม่เห็น มีเคียวที่ลอยออกมาจากโรงนาและเกือบตัดหัวแม่ บางครั้งเห็นคนที่ทะลุหายเข้าไปในกำแพง” โดยนวนิยายเรื่อง The Conjuring ถูกแต่งขึ้นจากบันทึกของแอนเดรีย ก่อนที่จะกลายมาเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งตัวละครหลักในเรื่องคือ “บัทเชบา” (Bathsheba) ผีแม่มดที่หลอกหลอนและทำร้ายครอบครัวในเรื่อง จริงอยู่ที่บัทเชบาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่ทว่าร่างของเธอถูกฝั่งอยู่ในสุสานไกลออกไป และไม่มีประวัติเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมแต่อย่างใด

คู่รักนักธุรกิจเอาจริง “ทุ่ม 15 ล้าน” ซื้อบ้านต้นตอ The Conjuring หวังเผชิญประสบการณ์ต่าง ๆ Read More »

พบกับ “จิ้งจอกดำ” หนึ่งในสัตว์หายากที่สุดในโลก โดย 1,000 ตัว-จะมี 1 ตัวเท่านั้นที่มีสีแบบนี้

“จิ้งจอกดำ” (Black fox) หรือบ้างก็เรียก “จิ้งจอกเงิน” (Silver fox) เป็นหนึ่งในสัตว์ที่หายาก ที่ต้องอาศัยความผิดพลาดทางธรรมชาติเท่านั้น โดยความจริงแล้วมันคือ “จิ้งจอกแดง” (Red fox) ที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติที่เรียกว่า “ภาวะเมลานิสติก” (Melanistic) เป็นความผิดปกติของการพัฒนาเม็ดสีเมลานินที่ผลิตสีดำมากกว่าปกติ จนทำให้มันมีสีดำเงินอย่างที่เห็น การเกิดจิ้งจอกดำแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้พ่อแม่จะเป็นจิ้งจอกแดงสีปกติก็ตาม ซึ่งโอกาสเกิดมีเพียง 0.1% เท่านั้น หรือก็คือใน 1,000 ตัว จะมีแบบนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ด้วยความหายากแบบนี้ ในอดีตขนของจิ้งจอกดำนับว่าเป็นของมีค่าและสูงส่ง นิยมให้เป็นของขวัญแก่ชนชั้นสูงเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี โดยในรัสเซียจะมีแต่ขุนนางเท่านั้นที่สวมใส่ชุดขนจิ้งจอกดำ  BBC รายงานว่า ชายชาวอังกฤษคนหนึ่งพบจิ้งจอกดำระหว่างขับรถกลับบ้านในเมือง Somerset ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ เขาเล่าว่า “มันเดินอยู่ข้างถนน ในตอนแรกฉันเข้าใจว่ามันคือสุนัขจรจัด แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ ปรากฏว่ามันคือจิ้งจอกดำ นั่นมันทำให้ฉันต้องเสิร์จ google เพื่อดูว่าจิ้งจอกสีนี้มีอยู่จริงหรอ เพราะมันเหมือนกับที่เคยได้ยินตามตำนานพื้นบ้านเลย” (ตำนานจิ้งจอกดำ หรือที่เรียกกันว่า Black shunk เป็นลางบอกเหตุความโชคร้าย) อีกหนึ่งเหตุการณ์พบเห็นจิ้งจอกสีดำ เกิดขึ้นที่บริเวณชายฝั่ง North Norfolk โดยช่างภาพ

พบกับ “จิ้งจอกดำ” หนึ่งในสัตว์หายากที่สุดในโลก โดย 1,000 ตัว-จะมี 1 ตัวเท่านั้นที่มีสีแบบนี้ Read More »

สายพันธุ์ “เต่าหน้าเกรียน” ที่นึกสูญพันธุ์แล้ว 20 ปี กลับมาปรากฏตัว “ยิ้มกระชากใจ” อีกครั้ง

นี่คือ “เต่าทะเลเมียนมาร์” (Burmese roofed turtles) ชื่อวิทยาศาสตร์ Batagur trivittata คือหนึ่งในสายพันธุ์เต่า-ที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดของโลก ซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วเคยถูกเข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานักวิจัยคาดว่ามีเต่าชนิดนี้อยู่ในธรรมชาติไม่ถึง 10 ตัว ทว่าในปี 2016 นักวิจัยพบไข่เต่าทะเลเมียนมาร์จำนวน 44 ฟอง นับเป็นการฟื้นคืนชีพจากการสูญพันธุ์เลยก็ว่าได้ โดยเต่าทะเลเมียนมาร์ มีถิ่นกำเนิดและถิ่นอาศัยอยู่ที่ประเทศเมียนมาร์ พวกมันกลายเป็นที่รู้จักจากใบหน้าสุดเกรียนที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา ด้วยความน่าสนใจและหายาก ทำให้มันถูกล่าอย่างหนักเพราะสามารถขายได้ในราคาสูงจากตลาดค้าสัตว์ผิดกฏหมาย ซึ่งในแต่ละปีทีมนักวิทยาศาสตร์จาก Wildlife Conservation Society (WCS) และ Turtle Survival Alliance จะออกหาไข่เต่าทะเลเมียนมาร์อยู่เป็นประจำ ซึ่งจะพบอย่างมากเพียง 1 ฟองต่อปีเท่านั้น จึงมีชื่อเล่นในหมู่นักวิจัยที่เรียกว่า “ไข่อีสเตอร์” เลยล่ะ โดย สตีเวน แพลตต์ นักสัตวิทยาประจำ WCS กล่าวกับเว็บไซต์ Seeker ว่า “การค้นพบกลุ่มไข่มากถึง 44 ฟองนี้ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เต่าสายพันธุ์นี้รอดพ้นวิกฤตสูญพันธุ์ได้เลย” ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เก็บไข่ทั้งหมดมาอยู่ในความดูแลเพื่อความปลอดภัยและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของลูกเต่าให้มากที่สุด

สายพันธุ์ “เต่าหน้าเกรียน” ที่นึกสูญพันธุ์แล้ว 20 ปี กลับมาปรากฏตัว “ยิ้มกระชากใจ” อีกครั้ง Read More »

“หน้ากาก-กันเรอ” นวัตกรรมที่ช่วยให้วัว-เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (แต่อาจต้องใส่ตลอดชีวิต)

ขณะนี้บนโลกของเรามีการเลี้ยงวัวเพื่อปศุสัตว์ราว ๆ 1.6 พันล้านตัว ซึ่งรู้หรือไม่ว่า “การเรอและตด” ของพวกมันกำลังเป็นปัญหาต่อโลกอย่างมาก … นั่นเพราะทุกครั้งที่พวกมันเรอหรือตดจะปล่อยก๊าซมีเทนออกมา ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุใหญ่สุดของปัญหาโลกร้อน (อันตรายกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 84 เท่า) ด้วยเหตุนี้ Zelp บริษัท Startup สัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง “ฟรานซิสโก และ แพทริซิโอ นอร์ริส” จึงทำการพัฒนา “หน้ากากกันเรอ” (Burp-catching mask) ที่สามารถดักจับก๊าซมีเทนที่ออกมาจากลมหายใจของวัว ช่วยให้สามารถลดปริมาณก๊าซมีเทนลงได้ถึง 60% เพราะกว่า 95% ของก๊าซมีเทนที่วัวปล่อยออกมานั้น-มาจากทางปากและจมูก (โดยตดเป็นเพียง 5%) ผู้พัฒนาจึงเลือกแก้ปัญหาที่ลมหายใจและการเรอก่อนครับ ทั้งนี้ โดยปกติการแก้ปัญหาลดก๊าซมีเทนของวัวจะอยู่ในรูปของสารเติมแต่งในอาหาร ซึ่งจะช่วยยับยั้งการผลิตก๊าซในกระเพาะวัวด้วยการเปลี่ยนกระบวนการย่อยอาหาร แม้วิธีนี้จะได้ผลแต่ก็ต้องแลกมากับการทำให้วัวได้รับสารอาหารน้อยลง แต่นวัตกรรม “หน้ากาก-กันเรอ” นี้ ช่วยให้วัวสามารถกินและย่อยอาหารได้ตามปกติ ซึ่งวิธีนี้จะมั่นใจได้ว่าวัวจะยังคงได้รับสารอาหารครบถ้วน ไม่ส่งผลต่อการผลิตเนื้อในตลาด โดยทางบริษัทยืนยันหนักแน่นอนว่า “ไม่ต้องห่วงว่ามันจะทรมาน” เพราะหน้ากากมีน้ำหนักเบา-ใช้งานง่าย-เพียงแค่สวมเข้ากับศรีษะก็ติดตั้งเสร็จสิ้น โดยแผ่นดักก๊าซจะติดอยู่เหนือรูจมูก-คอยทำหน้าที่กรองลมหายใจและเรอของวัวเข้าไป-ซึ่งแผ่นกรองจะทำปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนก๊าซมีเทนเป็นคาร์บอนไดออกไซด์แทน (สามารถใส่ได้ทันทีหลังวัวหย่านมเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือนครับ) นอร์ริส (ผู้ร่วมก่อตั้ง)

“หน้ากาก-กันเรอ” นวัตกรรมที่ช่วยให้วัว-เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (แต่อาจต้องใส่ตลอดชีวิต) Read More »

รู้จัก “นกขนรุ้ง” (Sunbeam) ที่สวย-ห้าว-และไม่ชอบซ่อนรูป มีของดีแบบนี้ต้องโชว์สิคะ

“นกขนรุ้ง” (Shining sunbeam) เป็นหนึ่งในตระกูลนกฮัมมิงเบิร์ด (Hummingbird) ที่แม้ลำตัวจะมีสีน้ำตาลธรรมดาทั่วไป แต่บริเวณขนด้านหลังของมันจะ “ประกายแสงสีรุ้งสวยงาม” โดยมันเป็นฮัมมิงเบิร์ดสายพันธุ์เดียวที่มีขนสีรุ้งแบบนี้ (ทั้งนี้ ฮัมมิงเบิร์ดคือสายพันธุ์นกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก บินถอยหลังได้ แล้วก็กินน้ำหวานจากดอกไม้ได้ด้วย) “เจ้าซันบีม” เป็นนกขนาดจิ๋วที่มีขนาดความยาวลำตัวเพียง 12-13 เซนติเมตรเท่านั้น (หรือเทียบเท่านิ้วหัวแม่มือของคนเราแค่นั้นเอง) มีน้ำหนักราว 7-8 กรัม ได้รับการบันทึกว่ามีตัวตนครั้งแรกในปี ค.ศ.1843 สามารถพบได้ตลอดแนวเทือกเขาแอนดีส ประเทศโคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเปรู สิ่งหนึ่งที่มันต่างไปจากนกฮัมมิงเบิร์ดและนกสายพันธุ์อื่น คือมีนิสัยหวงอาณาเขตมาก นกขนรุ้งมักจะทำตัวเป็นเจ้าของดอกไม้และพื้นที่-ที่มันหากิน หากมีฮัมมิงเบิร์ดตัวอื่นมากินน้ำหวานจากดอกไม้ของมัน มันจะเข้าโจมตีนกตัวนั้นทันที ช่างภาพบางคนเล่าว่า “บางทีหากพวกเขาเข้าใกล้มากเกินไป ก็อาจถูกโจมตีได้เช่นกัน” สำหรับการผสมพันธุ์จะมีฤดูการผสมพันธุ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ เช่น โคลอมเบีย : ช่วงเดือนมีนาคม-กันยายน , เอกวาดอร์ : ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน และ เปรู : พฤศจิกายน-เมษายน พวกมันสามารถสร้างรังจากตะไคร่น้ำและเส้นใยพืชได้ โดยจะอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 10 เมตร ปัจจุบัน IUCN ประเมินสถานะเสี่ยงสูญพันธุ์ของนกขนรุ้งคือ

รู้จัก “นกขนรุ้ง” (Sunbeam) ที่สวย-ห้าว-และไม่ชอบซ่อนรูป มีของดีแบบนี้ต้องโชว์สิคะ Read More »

ช่างภาพติดตาม มิตรภาพระหว่าง หมี-หมาป่า (สัตว์ต่างสุดขั้ว) ที่มาเป็นเพื่อนคู่ใจกันเฉยเลย

(เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2013) “ลาสซี ลูติเนน” ช่างภาพธรรมชาติชาวฟินแลนด์ วัย 56 ปี ที่ขณะนั้นกำลังออกสำรวจสัตว์ป่าทางตอนเหนือของประเทศ จนได้บังเอิญพบกับ “หมี” และ “หมาป่าสีเทา” ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกและประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งไม่มีบันทึกใดเคยระบุการพบเห็นพฤติกรรมสัตว์แบบนี้มาก่อน ลาสซี เล่าให้กับสำนักข่าว Dailymail ฟังว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมพวกมันทั้งคู่ถึงมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ผมไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เพราะตามธรรมชาติแล้วหมาป่าจะอยู่เป็นฝูง ส่วนหมีจะอาศัยตามลำพัง หรืออาจเป็นไปได้ว่า ทั้งคู่ถูกขับไล่ออกจากถิ่นอาศัย จากนั้นจึงบังเอิญมาเจอกัน ทำให้เลือกที่จะจับคู่เพื่อความอยู่รอด หรือบางทีพวกมันอาจรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ด้วยกันก็ได้นะ” โดยช่างภาพท่านนี้ยังได้เล่าเพิ่มเติมอีกว่า – จากการสังเกตพฤติกรรม พบว่าในช่วงกลางวันทั้งคู่จะแยกกันไปหาอาหาร และเมื่อตกเย็นก็จะนำสิ่งที่ล่าได้มาแบ่งกันกิน ซึ่งหลังกินเสร็จก็จะไม่ได้แยกกันทันทีแต่จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันตั้งแต่ 2 ทุ่มจนถึงตี 4  ก่อนจะแยกไปหาอาหารและกลับมากินร่วมกันใหม่เช่นเดิม โดยลาสซีใช้เวลาติดตามมิตรภาพนี้นานถึง 10 วัน (และเป็นแบบนี้ทุกวัน – จนกระทั่งลาสซี่เดินทางออกจากป่าครับ) ภาพถ่ายของลาสซีโด่งดังมากจนกลายเป็นไวรัล และได้จุดกระแสเรียกร้องรณรงค์ไม่ให้ล่าหมีในบริเวณที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ ซึ่งทางลาสซีเองก็เป็นคนยื่นเรื่องนี้ต่อรัฐบาลฟินแลนด์ จนสุดท้ายกฏหมายปกป้องสัตว์ก็ได้รับการอนุมัติในที่สุด นับแต่นั้นบันทึกความสัมพันธุ์ของหมาป่าและหมีคู่นี้ก็ดึงดูดช่างภาพและนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ให้เดินทางมาเยี่ยมชมธรรมชาติและหวังจะได้พวกมันครับ ซึ่งที่เราใช้คำว่า “มิตรภาพแปลก” นั่นก็เพราะมันแปลกจริง ๆ

ช่างภาพติดตาม มิตรภาพระหว่าง หมี-หมาป่า (สัตว์ต่างสุดขั้ว) ที่มาเป็นเพื่อนคู่ใจกันเฉยเลย Read More »

(เหตุการณ์จริง) เมื่อนักวิจัยต้องทิ้ง “ฐานทดลอง” ขั้วโลก เพื่อรอดจากน้ำแข็งแตกฉับพลัน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง เมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.2019 นักวิจัยจากสถาบัน Roshydromet (“โรซายโดเมท”) ของรัสเซีย ที่ได้ตั้งฐานวิจัยอยู่บนแผ่นน้ำแข็งในแถบอาร์กติก (หรือขั้วโลกเหนือ) ต้องทำการอพยพคนออกจากสถานีโดยด่วน เนื่องจากพบว่า พื้นผิวน้ำแข็งในบริเวณนั้นเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งการอพยพครั้งนี้ ถูกประกาศอย่างเร่งด่วนจากทีมเฝ้าระวังว่า “ต้องเสร็จสิ้นภายใน 3 ชั่วโมง” มิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ (ทั้งนี้ ภาพประกอบบทความทั้งหมด-รวมถึงภาพหน้าปก คือภาพจากเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2015 ซึ่งมีเนื้อหาอยู่ด้านล่าง เนื่องจากเหตุการณ์ล่าสุด 2019 ทีมงานรีบอพยพจึงอาจทำให้ไม่มีเวลาถ่ายภาพ – หรืออาจมีแต่เราหาไม่เจอจริง ๆ ครับ) กลับมาที่เหตุการณ์ปี 2019 – ทีมวิจัยดังกล่าวได้ตั้งสถานีวิจัย ณ บริเวณนั้นได้เพียง 1 เดือน เพื่อทำการศึกษาค่ามลพิษที่เพิ่มสูงขึ้นของบริเวณขั้วโลกเหนือ แต่โชคดีที่ได้แบ่งหน้าที่คอยสังเกตร่องที่เกิดการแตกของพื้นน้ำแข็ง-จึงทำให้เห็นถึงการละลายอย่างชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว โดยการแจ้งเตือนเกิดขึ้นกระทันหัน-เพราะจู่ ๆ แผ่นน้ำแข็งก็เกิดการละลายพร้อมทั้งแตกออกจากกันอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งนักวิจัยยอมรับว่า งานที่พวกเขาทำนั้นมีความเสี่ยงสูง เพราะจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถหาแผ่นน้ำแข็ง-ที่มีความแข็งแรงมากพอที่จะลอยตัวได้จริง ๆ (และจนถึงตอนนี้ อัพเดต:2021 ก็ยังไม่สามารถหาที่ตั้งสำหรับสถานีวิจัยใหม่ได้) และการหนีเอาชีวิตรอดในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เหตุกาณ์แรกที่เคยเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ปี

(เหตุการณ์จริง) เมื่อนักวิจัยต้องทิ้ง “ฐานทดลอง” ขั้วโลก เพื่อรอดจากน้ำแข็งแตกฉับพลัน Read More »

Scroll to Top