“จิ้งจอกดำ” (Black fox) หรือบ้างก็เรียก “จิ้งจอกเงิน” (Silver fox) เป็นหนึ่งในสัตว์ที่หายาก ที่ต้องอาศัยความผิดพลาดทางธรรมชาติเท่านั้น โดยความจริงแล้วมันคือ “จิ้งจอกแดง” (Red fox) ที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติที่เรียกว่า “ภาวะเมลานิสติก” (Melanistic) เป็นความผิดปกติของการพัฒนาเม็ดสีเมลานินที่ผลิตสีดำมากกว่าปกติ จนทำให้มันมีสีดำเงินอย่างที่เห็น
การเกิดจิ้งจอกดำแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้พ่อแม่จะเป็นจิ้งจอกแดงสีปกติก็ตาม ซึ่งโอกาสเกิดมีเพียง 0.1% เท่านั้น หรือก็คือใน 1,000 ตัว จะมีแบบนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ด้วยความหายากแบบนี้ ในอดีตขนของจิ้งจอกดำนับว่าเป็นของมีค่าและสูงส่ง นิยมให้เป็นของขวัญแก่ชนชั้นสูงเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี โดยในรัสเซียจะมีแต่ขุนนางเท่านั้นที่สวมใส่ชุดขนจิ้งจอกดำ
BBC รายงานว่า ชายชาวอังกฤษคนหนึ่งพบจิ้งจอกดำระหว่างขับรถกลับบ้านในเมือง Somerset ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ เขาเล่าว่า “มันเดินอยู่ข้างถนน ในตอนแรกฉันเข้าใจว่ามันคือสุนัขจรจัด แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ ปรากฏว่ามันคือจิ้งจอกดำ นั่นมันทำให้ฉันต้องเสิร์จ google เพื่อดูว่าจิ้งจอกสีนี้มีอยู่จริงหรอ เพราะมันเหมือนกับที่เคยได้ยินตามตำนานพื้นบ้านเลย” (ตำนานจิ้งจอกดำ หรือที่เรียกกันว่า Black shunk เป็นลางบอกเหตุความโชคร้าย)
อีกหนึ่งเหตุการณ์พบเห็นจิ้งจอกสีดำ เกิดขึ้นที่บริเวณชายฝั่ง North Norfolk โดยช่างภาพ คริส เทย์เลอร์ เขาเล่าว่า “ผมรู้สึกนอนไม่หลับ เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่น บริเวณใกล้ ๆ กับหน้าผาเชอริงแฮมเวลาประมาณ ตี 4.45 น. ฉันเห็นสุนัขจิ้งจอกสีดำ ซึ่งมันวิเศษมาก เพราะไม่เคยเห็นจิ้งจอกสีแบบนี้มาก่อน”
อย่างไรก็ตาม แม้มันจะดูเท่ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันถูกล่าเอาขนมาตลอดเพราะอย่างที่กล่าวไปว่ามันมีค่ามากในอดีต เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และมีอำนาจ โชคดีที่จิ้งจอกดำนั้นเป็นสัตว์กลายพันธุ์จากจิ้งจอกแดง และจิ้งจอกได้ไม่ได้ถูกล่าตามไปด้วย ทำให้พวกมันยังคงปลอดภัยและห่างไกลจากการสูญพันธุ์ (พูดง่าย ๆ คือ มีโอกาสเกิดจิ้งจอกดำเรื่อย ๆ แต่หายากหน่อยเท่านั่นเอง)
สุดท้าย ในทางธรรมชาติ การกลายพันธุ์สีดำแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีคือมันพรางตัวได้ง่าย มีโอกาสรอดชีวิตจากนักล่าสูง และโอกาสในการพรางตัวล่าเหยื่อก็ทำได้ง่ายเช่นกัน แต่ทว่าจิ้งจอกดำมักถูกปฏิเสธการผสมพันธุ์ และมักถูกกีดกันจากจิ้งจอกแดงสีปกติเวลาล่าเหยื่อมาได้