รู้จักกับ “หมู่บ้านสุดกันดาล” (ไม่มีน้ำจืด ไฟฟ้าไม่พอ) แต่กลับมีคนอยู่หนาแน่นสุดในโลก

นี่คือ “Santa Cruz del Islote” (อ่านว่า ซานตา-ครูซ-เดล-อิสโลเต) เป็นเกาะปะการังเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหมู่เกาะ San Bernado นอกชายฝั่งโคลอมเบีย มีขนาด 2.4 เอเคอร์ (ประมาณสนามฟุตบอล 2 สนาม) แต่มีคนอยู่มากถึง 1,200 คน ซึ่งหากเทียบจำนวนประชากรกับพื้นที่แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้มีคนอยู่หนาแน่นกว่าเกาะแมนฮัตตันถึง 4 เท่า ! กลายเป็นพื้นที่ที่คนอยู่หนาแน่นมากที่สุดในโลก โดยหมู่บ้านซานตาครูซค่อนข้างกันดาล เพราะที่นี่ไม่มีระบบน้ำปะปา ไม่มีระบบน้ำเสีย ไม่มีระบบจัดการกับสิ่งปฏิกูล มีไฟฟ้าให้ใช้ได้เพียงวันละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น และต้องรอน้ำจืดจากกองทัพโคลอมเบียที่จะมาส่งทุก 3 สัปดาห์ ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกใจคือ มันกันดาลขนาดนี้ แต่ทำไมถึงยังอยู่กันนะ ? คำตอบของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 150 ปีก่อน ที่มีกลุ่มชาวประมงจากเมืองชายฝั่งบารู ที่อยู่ห่างออกไป 50 กิโลเมตร ออกมาหาปลาบริเวณเกาะซานตา ครูซ ก่อนจะตัดสินใจพักค้างคืนที่นั่น และสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจคือ “เกาะแห่งนี้ไม่มียุง” […]

รู้จักกับ “หมู่บ้านสุดกันดาล” (ไม่มีน้ำจืด ไฟฟ้าไม่พอ) แต่กลับมีคนอยู่หนาแน่นสุดในโลก Read More »

นักสำรวจ พบซากเรืออับปางที่ลึกที่สุดในโลก-หลังจมลงสู่ก้นทะเลเมื่อเกือบ 80 ปีก่อน

เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ที่ผ่านมา นักสำรวจพบซากเรืออับปาง “USS Samuel B Roberts” หรือชื่อเล่นว่า “Sammy B” เป็นเรือรบคุ้มกันของกองทัพสหรัฐฯ ที่ถูกใช้งานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยซากเรือรบนี้ถูกค้นพบโดย “วิคเตอร์ เวสโคโว” นักสำรวจมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทสำรวจมหาสมุทร Caladan Oceanic และ “เจเรมี มอรีเซต” ผู้เชี่ยวชาญด้านโซนาร์จาก EYOS Expeditions พวกเขาใช้หุ่นยนต์ดำน้ำและเรือสำรวจโซนาร์สำรวจทะเลฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยเป็นสนามรบในสงครามอ่าวเลย์เตระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และกองทัพญี่ปุ่น ทีมสำรวจดำเนินการสำรวจ 6 ครั้ง ใช้เวลากว่า 7 วันในการสำรวจครั้งนี้ โดยในวันที่ 18 มิถุนายน ทีมวิจัยค้นพบเครื่องยิงตอร์ปิโดแบบ 3 หัว ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเรือรบ Sammy B ต่อมาก็ค้นพบซากเรือทั้งหมดำตั้งแต่หัวเรือยันท้ายเรือ ซึ่งเรือแตกออกเป็น 2 ส่วน ที่ระดับความลึก  6,895 เมตร นับว่าเป็นระดับความลึกที่ลึกที่สุดในโลกที่มีการค้นพบเรืออับปาง ทำลายสถิติเดิมที่ความลึก 6,469 เมตร

นักสำรวจ พบซากเรืออับปางที่ลึกที่สุดในโลก-หลังจมลงสู่ก้นทะเลเมื่อเกือบ 80 ปีก่อน Read More »

นักสำรวจพบ “หมู่บ้านร้าง” ใน Arctic Circle ที่ชาวบ้านไม่ใช่มนุษย์-แต่เป็น “แก๊งหมีขั้วโลก”

เมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2021 ช่างภาพชาวรัสเซีย “Dmitry Kokh” เดินทางสำรวจ “เกาะแรงเกิล” (Wrangle Island) เกาะห่างไกลที่อยู่ในเขต Arctic circle ทางตอนเหนือของภูมิภาคชูคอตกา ประเทศรัสเซีย โดยสิ่งที่เขาพบคือ หมู่บ้านร้างแห่งหนึ่งที่ซึ่งชาวบ้านคือ “แก๊งหมีขั้วโลก” กว่า 20 ตัว Kokh ร่องเรือไปไกลกว่า 2,000 กิโลเมตร จากเมือง Anadyr เมืองหลวงของชูคอตกา เพื่อเดินทางไปยังเกาะแรงเกิล โดยทางตอนใต้ของเกาะแรงเกิลมีเกาะเล็ก ๆ ชื่อ “Kolyuchin” ที่นั่นมีหมู่บ้านร้างที่อดีตเคยเป็นศูนย์วิจัยสภาพอากาศของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันคือที่อยู่อาศัยของหมีขั้วโลก “เกาะ Kolyuchin มีขนาดเล็กมาก คุณสามารถมองเห็นทั้งเกาะได้จากบนเรือ” Kokh กล่าวกับ Livescience สำหรับสถานีวิจัยสภาพอากาศของโซเวียตนั้นถูกทิ้งร้างไปเมื่อปี ค.ศ.1991 หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย โดยในระหว่างที่เรือของ Kokh จะเทียบท่า เขาเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่หน้าต่างของบ้านร้าง จนกระทั่งพบว่ามันคือหมีขั้วโลก “เราเห็นหมี 1 ตัว แล้วก็เห็นอีกตัว เมื่อนับไปเรื่อย ๆ จนมีหมีมากถึง

นักสำรวจพบ “หมู่บ้านร้าง” ใน Arctic Circle ที่ชาวบ้านไม่ใช่มนุษย์-แต่เป็น “แก๊งหมีขั้วโลก” Read More »

นี่คือ “แบคทีเรียที่ใหญ่ที่สุดในโลก” (ใหญ่กว่าปกติ 5,000 เท่า) สามาถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

นักวิจัยค้นพบ แบคทีเรียยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแบบไม่ต้องใช้กล้องจุลทัศน์เลยทีเดียว แบคทีเรียตัวนี้ชื่อ “Thiomargarita magnifica” มันมีขนาดใหญ่กว่าแบคทีเรียทั่วไปถึง 5,000 เท่าเลยทีเดียว “จีน-แมรี่ วอลแลนด์” นักชีววิทยาทางทะเลจากศูนย์วิจัย Complex Systems ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า มันมีความยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีลักษณะ ขนาดและรูปร่างคล้ายขนตามนุษย์ ซึ่งนอกจากจะใหญ่กว่าแบคทีเรียทั่วไปถึง 5,000 เท่าแล้ว เมื่อเทียบกับแบคทีเรียที่จัดว่ามีขนาดใหญ่ เจ้าแบคทีเรียตัวนี้ก็ยังใหญ่กว่าถึง 50 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น เซลล์ในแบคทีเรียยักษ์นี้ก็ยังพิเศษและซับซ้อนกว่าแบคทีเรียทั่วไป คือสารพันธุกรรมของแบคทีเรียทั่วไปจะลอยตัวอย่างอิสระอยู่ภายในเซลล์ แต่สำหรับ T.magnifica กลับบบรจุสารพันธุกรรมไว้ในถุงเมมเบรน ซึ่งปกติแล้วจะพบได้เฉพาะในพืชและสัตว์เท่านั้น โดย “โอลิเวอร์ กลอส” นักชีววิทยาทางทะเลจากประเทศฝรั่งเศส ค้นพบแบคทีเรียชนิดนี้ครั้งแรก จากการเก็บตัวอย่างน้ำในป่าชายเลนเขตร้อนในทะเล Lesser Antilles คาบสมุทรแคริบเบียน ซึ่งในตอนแรกพวกเขาเข้าใจว่ามันเป็นสัตว์จำพวกพยาธิชนิดหนึ่ง แต่เมื่อหลายปีต่อมาเริ่มมีการศึกษาจริงจังมากขึ้น จึงทราบว่ามันคือแบคทีเรีย ก่อนหน้านี้ มีทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุที่แบคทีเรียมีขนาดเล็กจิ๋วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าระบุว่า “เซลล์แบคทีเรียนั้นไม่มีความซับซ้อน ซึ่งเป็นตัวจำกัดขนาดของเซลล์” กล่าวคือ เมื่อร่างกายมีความเรียบง่าย ไม่มีอวัยวะมากมาย จึงไม่มีความจำเป็นที่จพต้องมีขนาดใหญ่โตเมื่อสิ่งมีชีวิตอื่น

นี่คือ “แบคทีเรียที่ใหญ่ที่สุดในโลก” (ใหญ่กว่าปกติ 5,000 เท่า) สามาถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า Read More »

นาซาทวงคืน ซากแมลงสาบที่กินฝุ่นดวงจันทร์-จากภารกิจ Apollo 11 เข้าไป (เมื่อ 53 ปีก่อน)

เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (2022) นาซาได้ติดต่อไปยัง RR Auction บริษัทจัดการประมูลในเมืองบอสตัน ประเทศอเมริกา เพื่อขอให้หยุดการประมูล “แมลงสาบที่กินตัวอย่างฝุ่นดวงจันทร์” ที่ “นีล อาร์มสตรอง และ บัสส์ อัลดรีน” เก็บมาจากดวงจันทร์ในภารกิจ Apollo 11 เมื่อปี ค.ศ.1969 ย้อนกลับไปเมื่อ 53 ปีก่อนหลังจากที่ยาน Apollo 11 กลับมายังโลก นาซาได้ส่งตัวอย่าง “ฝุ่นดวงจันทร์” (Moon dust) บางส่วนไปยังศูนย์วิจัย Lunar Receiving Laboratory ของมหาวิทยาลัยมินนิโซตา (UM) เพื่อทำการทดลองให้แมลงสาบกินฝุ่นดวงจันทร์เพื่อตรวจสอบว่าฝุ่นจากดวงจันทร์มีเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกหรือไม่ “มาริออน บรู๊คส์” นักกีฏวิทยาผู้ดูแลการทดลองดังกล่าว ได้ทำการตรวจสอบหลายอย่าง เช่น ฉีดฝุ่นดวงจันทร์เข้าไปยังแมลงสาบโดยตรง บางตัวก็ผสมฝุ่นดวงจันทร์กับอาหารและน้ำ บ้างก็ให้แมลงสาบเดินคลุกฝุ่นดวงจันทร์  โดยการทดลองนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงวารสาร Minnesota Science เมื่อปี 1970 ซึ่งผลการทดลองคือไม่มีแมลงสาบตัวไหนได้รับอันตรายจากฝุ่นดวงจันทร์ ทว่าหลังจากการทดลองเสร็จสิ้นแทนที่ บรู๊คส์จะส่งตัวอย่างการทดลองที่เสร็จสิ้นแล้วกลับไปยังนาซา เธอกลับเก็บมันไว้เสียเองและส่งต่อไปยังลูกสาว ซึ่งหลังจากที่บรู๊คส์เสียชีวิตลงเมื่อปี

นาซาทวงคืน ซากแมลงสาบที่กินฝุ่นดวงจันทร์-จากภารกิจ Apollo 11 เข้าไป (เมื่อ 53 ปีก่อน) Read More »

นี่คือ เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถ “มองทะลุกำแพง” ได้ – เห็นวัตถุและสิ่งมีชีวิตแบบเรียลไทม์

นี่คือกล้อง “Xaver 1000” เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับใช้งานในกองทัพอิสราเอล ความเจ๋งคือมันสามารถตรวจจับสิ่งมีชีวิตและวัตถุที่อยู่หลังกำแพงแสดงออกมาเป็นภาพให้เราได้เห็นแบบเรียลไทม์ Xaver 1000 ถูกออกแบบและสร้างขึ้นโดยบริษัท Camero-Tech ที่ดำเนินกิจการผลิตและพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีเรดาร์ ซึ่ง Xaver 1000 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Eurosatury 2022 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มันทำงานด้วยอัลกอริธึม AI ขึ้นสูงในการตรวจจับวัตถุและสิ่งมีชีวิตด้านหลังกำแพง และประเมินออกมาเป็นภาพให้เราได้เห็นแบบเรียลไทม์ ผ่านเทคโนโลยี 3D เฉพาะของ Camero-Tech โฆษกของ Camero-Tech อธิบายว่า “ความสามารถในการแสดงภาพที่อยู่หลังกำแพงนั้น เผยให้เห็นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ที่อยู่หลังกำแพงได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเป้าหมายจะนั่ง ยืน หรือนอนราบก็ตาม สามารถระบุจำนวนคน ระยะห่าง และทิศทาง ทั้งนี้ยังสามารถแยกแยะว่าสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นสัตว์ เด็ก หรือผู้ใหญ่ ได้ด้วย” ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีสุดเจ๋งชิ้นนี้จึงถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะในกองทัพ การปฏิบัติภารกิจพิเศษ หน่วยข่าวกรอง และการค้นหากู้ภัยเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะถูกนำไปใช้ปฏิบัติการมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก “Amir Beeri” ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Camero-Tech กล่าวเสริมอีกว่า “Xaver

นี่คือ เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถ “มองทะลุกำแพง” ได้ – เห็นวัตถุและสิ่งมีชีวิตแบบเรียลไทม์ Read More »

รู้จักกับ ชายที่อยู่บนเกาะร้างมานานเกือบ 30 ปี – จนถูกขนานนานว่า “Castaway ตัวจริง”

คุณปู่ “มาซาฟุมิ นางาซากิ” ชายชาวญี่ปุ่นวัย 82 ปี อาศัยอยู่บนเกาะร้างห่างไกลของญี่ปุ่นอย่างโดดเดี่ยวมานานกว่า 29 ปี จนถูกขนานนามว่าเป็น “Castaway ตัวจริง” โดยเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้ไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต ย้อนไปในปี ค.ศ.1989 ปู่นางาซากิตัดสินใจทิ้งบ้านและย้ายไปอยู่บนเกาะโซโตะบานาริ เกาะร้างในจังหวัดโอกินาว่า ที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งไปเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ไม่มีใครขึ้นไปบนเกาะนั้นเนื่องจากกระแสน้ำโดยรอบนั้นอันตราย แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่คุณปู่เลือกมาอยู่บนเกาะนี้นั่นแหละ อดีตเขาเคยเป็นช่างภาพและเคยประกอบกิจการโฮสต์คลับ ซึ่งไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ปู่นางาซากิตัดสินใจทิ้งชีวิตที่สดใสและมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวแบบนี้ แต่เมื่อปี 2012 ปู่นางาซากิเคยกล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่า “การหาที่ตายคือสิ่งสำคัญสำหรับฉัน และฉันตัดสินใจแล้วว่าที่เกาะแห่งนี้คือที่สำหรับฉัน” “อัลเบโร เซเรโซ” นักข่าวอิสระ ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ปู่นางาซากิและใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเวลากว่า 5 วัน เล่าว่า “ในช่วงแรกที่ปู่มาอยู่ที่นี่ เขาใช้ชีวิตด้วยการสวมเสื้อผ้าปกติ แต่อยู่มาวันหนึ่งพายุได้พัดถล่มบ้านที่เขาสร้างขึ้นพร้อมกับทรัพย์สินและเสื้อผ้าลอยไปกับสายลม ทว่าไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่า ตนเองไม่ต้องใส่เสื้อผ้าบนเกาะห่างไกลไร้ผู้คนแบบนี้สักหน่อย” นั่นเป็นเหตุผลที่ปู่ใช้ชีวิตบนเกาะโดยไม่สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้นเดียว สิ่งที่น่าสนใจของปู่นางาซากิคือ เขาเป็นคนตรงต่อเวลาและมีระเบียบวินัยมาก แม้จะอยู่เพียงลำพังบนเกาะที่เอาจริง ๆ เขาจะทำอะไรก็ได้ จะยืดหยุ่นแค่ไหนหรือไม่ทำอะไรเลยก็ยังได้ แต่ทว่าปู่มีตารางเวลาการใช้ชีวิตที่ชัดเจน เซเรโซกล่าวว่า “ฉันมาสายจากเวลาที่ปู่นัดไป 5 นาที

รู้จักกับ ชายที่อยู่บนเกาะร้างมานานเกือบ 30 ปี – จนถูกขนานนานว่า “Castaway ตัวจริง” Read More »

หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกของ “แฟรงเกนสไตน์” (Frankenstein) ถูกขายไปในราคาสูงถึง 40 ล้านบาท

“แฟรงเกนสไตน์” (Frankenstein) นวนิยายแนวโกธิคสยองขวัญสุดอมตะ ที่ไม่ว่าผ่านไปกี่ยุคก็ยังมีกลิ่นอายความน่าหลงใหลอยู่ตลอด โดยเมื่อปี 2021 นวนิยายดังกล่าวก็สร้างเสียงฮือฮาด้วยราคาประมูลหนังสือชุดแรกในราคาสูงถึง 40 ล้านบาท !! นวนิยายเรื่อง “แฟรงเกนสไตน์” หรืออีกชื่อหนึ่ง “Modern Prometheus” เป็นฝีมือการประพันธ์ของ “แมรี เชลลีย์” (Mary Shelley) มีการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1818 มีทั้งเรื่องราวของความสยองขวัญจากศพที่ถูกฟื้นคืนชีพ และเรื่องราวความรักปนอยู่รวมกัน ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ถูกนำไปดัดแปลงในการแสดงต่าง ๆ ตั้งแต่ละคร, ละครเวที, ภาพยนตร์ แม้กระทั่งการ์ตูนก็มีเหมือนกันครับ แต่ความน่าสนใจของเรื่องราวนี้ คือการเปิดประมูลหนังสือนวนิยายเรื่องแฟรงเกนสไตน์นี่แหละ หากแต่มันจะไม่น่าสนใจอะไรเลยถ้ามันไม่ใช่หนังสือที่อยู่ในการพิมพ์ครั้งที่ 1 นั่นแปลว่าหนังสือชุดนี้มีอายุกว่า 200 ปีมาแล้ว จุดสังเกตที่โดดเด่นของหนังสือในยุคนี้คือ “ปกหนังสือสีฟ้า” ที่ทำจากกระดาษแข็งและไม่มีลวดลายอะไรมากนัก โรงพิมพ์ในช่วงปี 1800 จะใช้กระดาษแข็งสีฟ้าหรือเทาแทนปกหนังสือเพื่อให้กระบวนการผลิตรวดเร็ว นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าเข้ามาซื้อหนังสือแล้ว พวกเขาสามารถส่งหนังสือไปให้ช่างทำปกช่วยถอดปกกระดาษแข็งอันจืดจางนี้ออก เพื่อทำปกใหม่ที่สวยงามกว่าลงไปแทน ดังนั้น ปกกระดาษแข็งนี้จึงถอดเปลี่ยนได้ง่าย แต่ก็มีความแข็งแรงต่ำกว่าการทำปกแบบจริงจังเช่นกัน ในช่วงหลังที่ระบบโรงพิมพ์พัฒนามากขึ้น ความนิยมใช้ปกกระดาษแข็งจึงลดน้อยลงไปมาก (เพราะโรงพิมพ์สามารถทำปกสวย ๆ และแข็งแรงกว่าได้เร็วทันใจนั่นเอง)

หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกของ “แฟรงเกนสไตน์” (Frankenstein) ถูกขายไปในราคาสูงถึง 40 ล้านบาท Read More »

“ระวังถูกขโมย DNA” หลังเทคโนโลยีใหม่สามารถให้กำเนิดลูกจาก DNA เส้นผมได้

DNA ของคุณอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกขโมย DNA ผ่านข้าวของเครื่องใช้โดยไม่รู้ตัว เช่น หมากฝรั่ง กระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้ว เศษอาหารที่เหลือบนจาน เส้นผม เล็บ น้ำลาย ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นร่องรอย DNA ของคุณไว้ และสามารถถูกดึงออกมาใช้ในทางที่เสียหายได้ ความกังวลเรื่องความปลอดภัย DNA ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในหมู่ของดาราคนดัง บุคคลสาธารณะ คนสำคัญของประเทศ ดังเช่นกรณีของประธานาธิบดีฝรั่งเศส “เอ็มมานูเอล มาครง” ปฏิเสธการตรวจ PCR โควิด-19 ของรัฐบาลรัสเซีย เพราะเกรงว่ารัสเซียอาจนำ DNA ของเขาไปใช้ในทางที่ไม่ดีได้ รวมถึงนายกรัฐมนตรีเยอรมัน “โอลัฟ ช็อลทซ์” ก็ปฏิเสธการตรวจ PCR เช่นเดียวกัน  ซึ่งความกังวลเรื่องความปลอดภัยของ DNA อาจดูใหม่ แต่ “มาดอนนา” นักร้องชื่อดังกังวลเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เธอจะจ้างทีมทำความสะอาดฆ่าเชื้อในห้องแต่งตัวของเธอทุกครั้งหลังจบคอนเสิร์ต และต้องมีห้องน้ำส่วนตัวทุกครั้ง จนเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นโรค “หวาดระแวงดีเอ็นเอ” (DNA paranoid) แต่เมื่อเทคโนโลยีเกี่ยวกับพันธุกรรมพัฒนามากขึ้น ทำให้ความหวาดระแวงของเธอเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แล้ว DNA ที่ถูกขโมยไปอันตรายอย่างไร

“ระวังถูกขโมย DNA” หลังเทคโนโลยีใหม่สามารถให้กำเนิดลูกจาก DNA เส้นผมได้ Read More »

สำรวจ “โลกใหม่” ซ่อนอยู่ใต้น้ำแข็งแอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้) พบสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เพียบ

นักสำรวจพบ “โลกใหม่” ที่มีระบบนิเวศของตัวเอง ซ่อนอยู่ใต้หิ้งน้ำแข็ง Larsen แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ในทวีปแอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้) ณ ความลึกประมาณ 450 เมตร ซึ่งข้างใต้เต็มไปด้วยฝูงสิ่งมีชีวิตแบบที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน หิ้งน้ำแข็ง Larsen ถูกขนานนามว่าเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นร่องลึกที่ทอดยาวไปตามน้ำแข็งในบริเวณที่ใกล้กับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งลักษณะที่ผิดปกตินี้นักวิจัยคาดว่าเป็นร่องที่เกิดจากน้ำแข็งละลายกลายเป็นแม่น้ำลึกลงไปใต้น้ำแข็ง ดังนั้นทีมวิจัยจึงลงมือเจาะน้ำแข็งและใช้กล้องลงไปสำรวจ กล้องปรากฏเป็นภาพเบลอ ๆ มีจุดดำ ๆ ในตอนแรกนักวิจัยคิดว่าอุปกรณ์มีปัญหา แต่หลังจากปรับโฟกัส พบว่าเลนส์กล้องถูกปิดด้วย แอมฟิพอด (Amphipods) สัตว์จำพวกครัสเตเชียน (พวกกุ้ง) ซึ่งนักวิจัยไม่ได้คาดคิดว่าจะพบสิ่งมีชีวิตมากมายขนาดนี้ เครก สตีเวนส์ นักสมุทรศาสตร์ทางกายภาพจากสถาบันวิจัยน้ำและบรรยากาศแห่งชาติ (NIWA) ประเทศนิวซีแลนด์ กล่าวว่า “การที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มากขนาดนี้ หมายความที่นั่น (ใต้แผ่นน้ำแข็ง) มีระบบนิเวศที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างชัดเจน” ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วว่าที่บริเวณปากแม่น้ำที่ไหลลงในมหาสมุทร น่าจะมีระบบนิเวศหรือคุณลักษณะบางอย่างที่น่าจะเอื้อต่อการมีชีวิตของสิ่งมีชีวิตได้ แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครศึกษาและสำรวจอย่างจริงจัง “ฮาว ฮอร์แกน” หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้ กล่าวว่า “การค้นพบโลกใหม่นี้เป็นกลุ่มแรกให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนีล อาร์มสตรองที่เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกอย่างนั้นเลยล่ะ พวกเราดีใจมาก” หลังจากส่งกล้องลงไปสำรวจ นอกจากการพบสิ่งมีชีวิตจะทำให้พวกเขาแปลกใจแล้ว ทีมวิจัยยังพบว่าถ้ำใต้น้ำแข็งถูกแบ่งออกเป็น 4-5 ชั้น และเพดานถ้ำน้ำแข็งก็ไม่ได้ราบเรียบเหมือนที่เคยเข้าใจกันมาตลอด หมายความว่าการสำรวจในครั้งนี้ทำให้นักวิจัยรู้ว่าเรื่องที่พวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็งนั้นผิดมาตลอด

สำรวจ “โลกใหม่” ซ่อนอยู่ใต้น้ำแข็งแอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้) พบสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เพียบ Read More »

Scroll to Top