รู้จัก “แมวน้ำช้าง” สายพันธุ์แมวน้ำ-ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก “สุดยอดป๋า” (ผู้ 1 : เมีย 50 ตัว)

สำหรับ “แมวน้ำช้าง” (Elephant seal) คือสายพันธุ์แมวน้ำ-ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวผู้มีลำตัวยาวราว 5-6 เมตร หนักได้ถึง 3 ตัน (ใหญ่กว่าเจ้าวอลรัสเขี้ยวยาวเกือบ 2 เท่า) ความน่าสนใจของมันคือ ตัวผู้ 1 ตัว สามารถรวบรวมตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ต่อเนื่องภายในช่วงฤดูเดียวได้มากถึงครั้งละ 40-50 ตัว (แต่ถ้าตัวไหนต่อสู้เก่ง ก็สามารถปกครองตัวเมียได้ถึง 150 ตัวเลย) ทั้งนี้ ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ 2-3 เท่าครับ

ภาพซ้าย-เปรียบเทียบขนาดตัวผู้และตัวเมีย , ภาพขวา – ตัวผู้ที่กำลังต่อสู้กัน
โดยชื่อ “แมวน้ำช้าง” นอกจากจะมาจากขนาดตัวที่ใหญ่เบ้อเร่อแล้ว จุดสำคัญที่ถูกตั้งชื่อก็ยังมาจาก “จมูก” สุดโดดเด่น ที่มีลักษณะเหมือนงวงช้างด้วย (แต่พบได้เฉพาะตัวผู้นะ) เพราะใช้สำหรับส่งเสียงขู่ตัวอื่น และยังใช้เป็นจุดเด่นดึงดูดตัวเมีย (ยิ่งจมูกยาวใหญ่ = ยิ่งมีเสน่ห์)

แมวน้ำช้าง แบ่งย่อยได้ 2 สายพันธุ์คือ 1.แมวน้ำช้างใต้ 2.แมวน้ำช้างเหนือ ซึ่งสายพันธุ์ใหญ่ที่สุดจริงในโลกจริง ๆ คือ “แมวน้ำช้างใต้” ครับ

ภาพซ้าย – คือภาพของเจ้า “มินาโซ” ที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์โยโกฮาม่า ภาพนี้ถ่ายปี 2005 ขณะมันอายุ 10 ปีครึ่ง ขนาด 2 ตัว ลำตัวยาว 4.5 เมตร แต่ขณะนี้มันเสียชีวิตไปแล้วครับ
พวกมันเป็นนักว่ายน้ำที่ชำนาญมาก ตลอดช่วงชีวิตจะอาศัยอยู่ในน้ำกว่า 90% สามารถดำน้ำได้ลึก 400-1,000 เมตร (มีบันทึกว่าพวกมันดำน้ำได้ลึกสุด 2,000 เมตร) และสามารถกลั้นหายใจได้นาน 1-2 ชั่วโมงต่อครั้ง ถิ่นอาศัยกระจายอยู่ทั่วมหาสมุทรเปิดแถบขั้วโลกใต้ ขณะที่แมวน้ำช้างเหนืออาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณหมู่เกาะบาจาว ประเทศเม็กซิโก ไปจนถึงหมู่เกาะอะลูเทียนของอะแลสกา

เอาล่ะ มาพูดถึงฤดูผสมพันธุ์ของมันกันดีกว่า อย่างที่กล่าวไปว่าส่วนใหญ่แล้วแมวน้ำช้างจะอาศัยอยู่ในน้ำแต่เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะขึ้นบกมารวมตัวเพื่อเตรียมผสมพันธุ์ โดยตัวผู้จะมาถึงก่อนและทำการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ-แสดงความแข็งแกร่ง โดยการต่อสู้แต่ละครั้งจะยาวนานและรุนแรง (จะไม่ใช่แค่ขู่) เริ่มจากการพองจมูกเพื่อส่งเสียงขู่คำราม-หากอีกฝ่ายไม่ยอมถอยการต่อสู้จะเริ่มขึ้น-ฝ่ายที่แพ้มักจะนองเลือดและเสียชีวิต บางครั้งผู้ชนะก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถผสมพันธุ์ได้ก็มี

ส่วนเจ้าตัวนี้ คือสายพันธุ์-แมวน้ำช้างใต้ ครับ
ตัวผู้กว่า 90% มักเสียชีวิตในช่วงฤดูผสมพันธุ์นี่แหละ (สู้ไป-ผสมพันธุ์ไป) โดยจะกินเวลาประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่ตัวเมียก็จะคลอดลูกที่ได้รับการผสมพันธุ์จากปีที่แล้วเช่นกัน สำหรับสาเหตุที่มันต้องผสมพันธุ์ทีละหลาย ๆ ตัวไม่ใช่เพราะเจ้าชู้นะครับ แต่เพื่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ล้วน ๆ เพราะตัวเมียสามารถคลอดลูกได้เพียงปีละ 1 ครั้ง (และมีลูกออกมา 1 ตัวเท่านั้น) นี่ยังไม่รวมลูกแมวน้ำช้างที่ต้องเสียชีวิตจากการโดนลูกหลงของตัวผู้ที่สู้กันด้วยนะ

ทั้งนี้ ในอดีตแมวน้ำช้างใต้รวมถึงแมวน้ำช้างเหนือเคยถูกล่าอย่างหนัก จนจำนวนเหลือน้อยมาก ๆ และแม้ปัจจุบันจะมีการรณรงค์จนจำนวนประชากรของแมวน้ำทั้งสองฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่น่าห่วงเท่าอดีต แต่ถึงอย่างไร ผลกระทบจากการทำประมงและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ก็ทำให้ไม่สามารถทราบจำนวนประชากรที่แน่ชัดของแมวน้ำช้างได้ว่าตอนนี้จริง ๆ แล้วเหลืออยู่เท่าไหร่กันแน่ (โดยสำหรับกลุ่มคนที่ชอบล่าสัตว์ มันคือสุดยอดถ้วยรางวัลเลยล่ะ)

อ้างอิง (Ref.) – Slushyseals , Britannica

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top