ประวัติศาสตร์

(เรื่องจริง) “เมืองผีสิง” ที่ไฟเปิดทุกคืน-บ้านทุกหลังสะอาดกริบ แต่ไม่มีคนอยู่นาน 40 ปีแล้ว

ถ้าให้นึกภาพเมืองผีสิง หลายคนคงคิดว่าต้องเป็นบ้านโทรม ๆ รกร้าง เก่าแก่ และเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แต่ทว่าที่เมือง “Kitsault” (คิท-ซอล์ท) ทุกอย่างกลับสะอาดเอี่ยม ราวกลับมีคนอยู่จริง ๆ แถมทุกคืน ไฟในเมืองจะเปิดตลอด แต่ทว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1982 แล้ว โดยเมือง Kitsault ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตอนเหนือของรัฐบริติชโคลอมเบีย ประเทศแคนาดา ที่นี่มีทั้งบ้านเรือน ศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงพยาบาล ธนาคาร ผับบาร์ และโรงละคร ทั้งหมดนี้ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ความลึกลับของที่นี่ไม่ใช่ภูติผีหรือวิญญาณ แต่เป็นเรื่องของธุรกิจต่างหาก เรื่องราวย้อนไปราว 100 ปีก่อน ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งแร่โมลิบดีนัม (Molybdenum) เป็นแร่โลหะที่ใช้ในการชุบเหล็กหรือใช้ผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้า ซึ่งรุ่งเรืองมากในยุคนั้น โดยในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ราคาของแร่โมลิบดีนัมสูงขึ้นมาก เนื่องจากแร่นี้เริ่มเป็นที่ต้องการและหายาก ด้วยเหตุนี้ บริษัท Phelps Dodge จึงเห็นโอกาสทำกำไร จนในปี ค.ศ.1979 บริษัทตัดสินใจลงทุนสร้างเมืองเล็ก ๆ ขึ้นมาสำหรับคนงานเหมือง ซึ่งก็คือเมือง “Kitsault” […]

(เรื่องจริง) “เมืองผีสิง” ที่ไฟเปิดทุกคืน-บ้านทุกหลังสะอาดกริบ แต่ไม่มีคนอยู่นาน 40 ปีแล้ว Read More »

นักวิจัยสแกนกระโหลกศีรษะมนุษย์ยุคหิน-เพื่อดูว่าเมื่อ 8,000 ปีก่อน พวกเขามีหน้าตาอย่างไร

เมื่อปี 2012 นักโบราณคดีค้นพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ชาวสแกนดิเนเวียในแหล่งขุดค้น Kanaljorden ในเมือง Motala ประเทศสวีเดน มีอายุเก่าแก่ราว 8,000 ปี ภายในกระโหลกมี DNA ถูกเก็บรักษาไว้ ซึ่งข้อมูล DNA สามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของมนุษย์ยุคน้ำแข็งคนนี้ได้ !   นักนิติวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน “ออสการ์ นิลส์สัน” ใช้ข้อมูลพันธุกรรมจากกระโหลกศีรษะที่บ่งบอกถึง สีผิว สีผม สีนัยน์ตา อายุ และสแกนด้วยเครื่อง 3D จนเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายวัย 50 ปี ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 8,000 ปีก่อน ในยุค Scandinavian Mesolithic เป็นช่วงเวลาของธารน้ำแข็งยุคสุดท้าย โดยตั้งชื่อให้เขาว่า “ลุดวิก” (Ludvig) “คริสตีน โรมีย์” จาก National Geographic รายงานว่า “ลุดวิกมีผมสีน้ำตาล โหนกแก้มนูนชัด นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน เป็นชายร่างกำยำ ตกแต่งด้วยเสื้อคลุมที่ทำจากหนังหมูป่า” โดยส่วนที่ยากที่สุดของเรื่องนี้คือส่วนของกรามที่หายไป นักวิจัยจึงต้องวิเคราะห์คำนวณจากขนาดของกระโหลกศีรษะส่วนบน  

นักวิจัยสแกนกระโหลกศีรษะมนุษย์ยุคหิน-เพื่อดูว่าเมื่อ 8,000 ปีก่อน พวกเขามีหน้าตาอย่างไร Read More »

“The Lost Tape” (เทปวิดีโอ) ที่เผยเรื่องโคตรพีคของ “เชอร์โนบิล” จนถูกซ่อนไว้นานกว่า 36 ปี

สารคดีชุดใหม่ของ HBO เรื่อง “Chernobyl : The Lost Tapes” ได้รวบรวมเทปบันทึกภาพและวิดีโอ รวมถึงบทสัมภาษณ์ของผู้คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ภัยพิบัติในเชอร์โนบิล ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน มันถูกเก็บซ่อนมันไว้นานหลายทศวรรษนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น ภัยพิบัติเชอร์โนบิลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปีค.ศ.1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลใกล้เมือง Pripyat ในยูเครน ซึ่งเกิดขึ้นจากการความประมาทของผู้ปฏิบัติงานและข้อบกพร่องพื้นฐานของการออกแบบโรงงาน ส่งผลให้เกิดหายนะระดับโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ผลกระทบของเชอร์โนบิลยังคงรุนแรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เทปวิดีโอนี้ถูกซ่อนและเรื่องราวความจริงถูกปิดบังไว้โดยรัฐบาลโซเวียตที่ปกครองยูเคลนอยู่ ณ ตอนนั้น เพราะกลัวว่าจะสร้างความเสียหายต่อรัฐบาลเนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามเย็น ทั้ง ๆ ที่อุบัติเหตุในครั้งนั้นปล่อยสารกัมมันตภาพรังสีออกมามากกว่าระเบิดฮิโรชิมาถึง 400 เท่า แต่ผู้คนโดยรอบต่างใช้ชีวิตราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วผู้คนที่อาศัยอยู่โดยรอบเริ่มมีอาการป่วยลึกลับ และทยอยเสียชีวิตลงเรื่อย ๆ ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้ถูกปิดเงียบ และอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการระเบิดของเชอร์โนบิล จนในที่สุดทุกคนก็รู้ความจริงถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ซึ่งการปิดบังข้อมูลของรัฐบาลในครั้งนั้นทำให้ผู้คนไม่ไว้วางใจ เกิดการต่อต้านและนำไปสู่การล่มสลายของโซเวียตในอีกไม่กี่ปีต่อมา เชื่อหรือไม่ครับว่า รัฐบาลโซเวียตปิดบังข้อมูลการเสียชีวิตจากเหตุการณ์เชอร์โนบิลว่ามีผู้เสียชีวิต 13 คน ทั้ง ๆ ที่ต่อมาความจริงเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากรังสีนิวเคลียร์จริง ๆ สูงถึง 200,000 คน เป็นการบิดเบือนตัวเลขที่น่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ ซึ่งนี่เป็นเพียงข้อมูลคร่าว

“The Lost Tape” (เทปวิดีโอ) ที่เผยเรื่องโคตรพีคของ “เชอร์โนบิล” จนถูกซ่อนไว้นานกว่า 36 ปี Read More »

คู่รักนักธุรกิจเอาจริง “ทุ่ม 15 ล้าน” ซื้อบ้านต้นตอ The Conjuring หวังเผชิญประสบการณ์ต่าง ๆ

เมื่อปี 2019 คู่สามีภรรยา “เจนน์และคอรี ไฮน์เซน” ตัดสินใจซื้อบ้านที่เป็นต้นแบบจากภาพยนตร์และนวนิยายสยองขวัญเรื่อง “The Conjuring” ในราคาเกือบ 15 ล้านบาท ซึ่งอะไรดลใจให้ทั้งคู่ซื้อบ้านไม้เก่าผุพังในราคาสูงขนาดนี้ ? บ้านหลังนี้มีอาถรรพณ์และวิญญาณร้ายอยู่จริงเหรอ ? ประวัติศาสตร์ความจริงต่างจากในนิยายขนาดไหน ? มาหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลยครับ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 8.5 เอเคอร์ (21 ไร่) ในรัฐโลดไอแลนด์ ประเทศอเมริกา ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ.1736 กลายเป็นที่รู้จักจากภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี ค.ศ.1836 เนื่องจากเป็นบ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางป่ารายล้อมด้วยต้นไม้สูงอย่างน่าประหลาดใจและชวนขนลุกไปในเวลาเดียวกัน ต่อมาบ้านหลังนี้เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังหลังจากที่ครอบครัวเพอร์รอน (Perron) ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยแอนเดรีย ลูกสาวคนโตของบ้านเขียนบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ครอบครัวเจอกับบ้านหลังนี้ ในบันทึกมีท่อนที่เล่าว่า “น้องสาวเธอถูกตบจากสิ่งที่มองไม่เห็น มีเคียวที่ลอยออกมาจากโรงนาและเกือบตัดหัวแม่ บางครั้งเห็นคนที่ทะลุหายเข้าไปในกำแพง” โดยนวนิยายเรื่อง The Conjuring ถูกแต่งขึ้นจากบันทึกของแอนเดรีย ก่อนที่จะกลายมาเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งตัวละครหลักในเรื่องคือ “บัทเชบา” (Bathsheba) ผีแม่มดที่หลอกหลอนและทำร้ายครอบครัวในเรื่อง จริงอยู่ที่บัทเชบาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่ทว่าร่างของเธอถูกฝั่งอยู่ในสุสานไกลออกไป และไม่มีประวัติเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมแต่อย่างใด

คู่รักนักธุรกิจเอาจริง “ทุ่ม 15 ล้าน” ซื้อบ้านต้นตอ The Conjuring หวังเผชิญประสบการณ์ต่าง ๆ Read More »

Scroll to Top