หยกยักษ์ (Giant jade) ชิ้นนี้ถูกขุดพบเมื่อเดือนตุลาคม 2016 โดยสำนักข่าวโกลบอล นิว ไลท์ออฟ เมียนมาร์ รายงานว่า เจ้าหยกยักษ์ก้อนนี้หนักถึง 175 ตัน (ความสูง 4.3 เมตร ความยาว 5.8 เมตร) ซึ่งขุดพบลึกลงไป ณ ความลึก 60 เมตร ในเหมืองหยกที่เมืองพากัน รัฐกะฉิ่น ทางตอนเหนือของประเทศเมียนมาร์
ซึ่งขณะนี้ถูกตัดแยกออกเป็นชิ้นน้อย เพื่อขายในงาน Myanmar’s Gem Emporium (ปีต่อมาเรียบร้อยแล้ว) โดย ณ ตอนนั้น มีผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประทศได้รับคำเชิญให้ประเมินราคาหยกยักษ์ชิ้นนี้ จากผลสรุป ทำให้ทราบว่า มันถูกตีมูลค่ามหาศาลกว่า 3 แสนล้านจ๊าด (ราว 5.7 พันล้านบาท)
ซึ่งมันเป็นหินหยกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากรูปปั้นหยกแกะสลักของพระพุทธเจ้าในประเทศจีน ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 260 ตัน ขณะนี้ตั้งอยู่ ณ วัดพระหยก เมืองอันชาน มณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน หยกชิ้นนี้ถูกพบในปี 2503 และแกะสลักในปี 1992
โดยเป็นการแกะสลักพระพุทธรูปจากหยกก้อนเดียวทั้งก้อน โดยเนื้อหยกนั้นมีเจ็ดสีที่แตกต่างกัน (ความสูง 7.95 เมตร ความกว้าง 6.88 เมตร) และถูกบันทึกว่าเป็นก้อนหยกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจาก Guinness World Records ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002
ทั้งนี้ รัฐกะฉิ่น (Kachin) ถูกยกให้เป็นพื้นที่สำคัญในการทำเหมืองหยกของประเทศ โดยมีทั้งเหมืองของรัฐบาล และเหมืองเอกชนแบบสัมปทาน
fact – อุตสาหกรรมเหมืองหยกนับเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศพม่า ซึ่งอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของจีดีพีประเทศ (GDP) โดยพม่าเป็นแหล่งหยกที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายหยกสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.75 ล้านล้านบาทต่อปี
โดยมีลูกค้าใหญ่สุดคือประเทศจีนและอินเดีย เพราะวัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศยกให้หยกเป็น “หินแห่งสวรรค์” โดยก้อนหยกที่ถูกซื้อจะถูกนำไปสลักเป็นเครื่องประดับ รูปปั้นราคาแพง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่เห็นสมควร